Japonica จาโปนิก้า





Japonica คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ผลิตขึ้นตามทฤษฎีไขมันเซลล์(Theory of Fat Cellls ) ใช้วิธีขจัดไขมันโดยเปลี่ยนไขมันให้เป็นพลังงานอย่างรวดเร็วเพื่อให้ร่างกายมีน้ำหนัก สัดส่วนที่สวยงามได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่มีผลข้างเคียง
Japonica ได้ผลิตตามมาตรฐาน 4 ประการ และข้อห้าม 3 ประการตามประกาศขององศ์การอนามัยโลก( WHO ) ดังนั้นจึงใช้ได้ทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี
องศ์การอนามัยโลก(WHO)กล่าวว่า การลดน้ำหนักอย่างไม่ถูกต้องอาจนำมาซึ่งอันตรายอย่างไม่คาดคิดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม ปี 2000 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่า ผลิตภัณฑ์ลดความอ้วนต้องมีมาตรฐานหลัก 4 ประการ ดังต่อไปนี้
1. ลดน้ำหนักโดยไม่มีการทำลายเซลล์กล้ามเนื้อ
2. เมื่อลดน้ำหนักแล้วไม่มีการกลับมาอ้วนใหม่
3. ไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
4. ช่วยให้การเผาผลาญไขมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อห้ามที่สำคัญ 3 ประการ
1. ไม่ต้องอดอาหาร
2. ไม่กลับมาอ้วนอีก
3. ไม่มีอาการท้องเสีย

หลักการทำงานของอาหารเสริม ลดน้ำหนัก จาโปนิก้า
1. ใช้หลักกระตุ้นเป็น 5 เท่า มีผลทำให้กระตุ้นเอมไซม์ย่อยไขมัน (Fat Ensyme) ให้สลายไขมันในอัตราสูงเป็น 32 เท่ากระตุ้นการทำงานของเอมไซม์ย่อยสลายไขมันเพิ่มอัตราเร็วในการเผาผลาญไขมันถึงระดับเซลล์
2. ด้วยสารสกัดจากพืชธรรมชาติ จะมีการดูดซึมโดยเซลล์และมีการย่อยสลายไขมันได้ทันทีหลังการบริโภคและภายหลัง 20 นาทีจะมีการผลิตน้ำย่อย TGE ขึ้น ณ ส่วนไขมันของร่างกายช่วยขับล้างสารพิษออกจากร่างกาย พร้อมๆกับการขับไขมันเก่าและยับยั้งการดูดซึมไขมันใหม่ขณะเดียวกันก็เพิ่มอัตราการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นเข้าสู่ร่างกาย กระบวนการนี้มีผลอย่างมากในการฟื้นฟูสุขภาพ
3. ปรับปรุงกระบวนการเมตาบอลิซึ่ม โดยให้ธาตุและสารอาหารต่างๆที่ร่างกายต้องการสงวนน้ำในร่างกายให้ได้สมดุล ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคุญมาก
4. เพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และหลอดเลือดอย่างมีประสิทธิภาพ
5. ปรับสมดุลระหว่างเซลล์สะสมไขมันกับเซลล์พลังงานความร้อนเพื่อสามารถควบคุมน้ำหนักได้ตลอดไปทั้ง 3 กระบวนการให้ดำเนินต่อเนื่องกันไปและไม่มีการกลับมาอ้วนใหม่หากรับประทานอย่างถูกต้องและเข้าใจหลักการทำงานของระบบร่างกาย โดยแนะนำว่า
- ควรรับประทานติดต่อกันนาน 3-6 เดือน เมื่อได้ผลในระดับที่พึ่งพอใจตามน้ำหนักที่เกินของแต่ละบุคคล ให้ลดขนาดการรับประทานลง หลังจากนั้นรับประทาน 2 วัน 1 เม็ด,3 วัน 1 เม็ด,5 วัน 1 เม็ดและควรมีติดไว้ในกรณีรับประทานอาหารหลัง 18.00 น. และทานมากกว่าปกติทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น 2-4 กก.จากที่น้ำหนักลดลง
- กรณีมีโรคประจำตัว ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ปรับวิธีรับประทานเพื่อให้ได้ผล
- ข้อสำคัญที่สุด ต้องทานอาหารเช้า และดื่มน้ำบ่อยๆ ให้ได้วันละ 2,500 cc
- ส่วนอาหารเย็นไม่ควรรับประทานเกินเวลา 18.00 น.

วิธีการรับประทาน
วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า 15 นาที จะได้ผลดีที่สุด (7.45 น) 1 แคปซูลทานอาหารเช้า เวลา 8.00 น.ถ้าเป็นข้าวต้มจะได้ผลดีที่สุด (กับข้าวจะเป็นอะไรก็ได้ ระยะแรกๆควรมีไขมันน้อยที่สุด) ควรได้รับอาหารที่ให้แคลอรี่ 1,800-2,000
หมายเหตุถ้าช่วงเช้าไม่สามารถทานได้ ให้ทานเวลา 11.45 น.ก่อนรับประทานอาหารเที่ยงหรือ 4.45 น.หลังจากนั้น อีก 15 นาทีค่อยรับประทานอาหารตาม

คำเตือน
เด็กและสตรีมีครรภ์ สตรีหลังคลอดบุตร และระหว่างให้นมบุตร ห้ามรับประทาน

ส่วนประกอบ
1. ข้าวกล้องสกัด (Brown Rice)
- จะได้สารอาหาร วิตามิน บี 1,บี 3, บี 6 ช่วยลดการสระสมไขมัน โดยเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลให้เป็นพลังงาน
- ช่วยบำรุงเซลล์สมอง บำรุงระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้กระปี้กระเปร่า
2. แอลคานิทีน/แอลตาเตรท ( L-Carnitine L-Tartrate )
- เป็นกรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายซึ่งร่างกายสร้างเองไม่ได้
- ช่วยย่อยไขมัน เปลี่ยนเป็นพลังงานในระดับเซลล์
- ทำให้กล้ามเนื้อกระชับไม่หย่อนยานขณะลดน้ำหนัก
- ช่วยลดการสะสมไขมันที่ตับ
- เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตทำให้การส่งลำเลียงออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆของร่างกายดีขึ้นจึงเสริมประสิทธิภาพการเผาผลาญไขมันได้ดียิ่งขึ้น
3. อาร์ติโช๊ค พาวเดอร์ ( Artichoke powder )
- ช่วยลดความอยากของอาหาร
- มีคุณสมบัติเป็นไฟเบอร์ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี
- มีสารอาหารอินนูลิน ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ทำให้ระบบการย่อยดีขึ้น
- กระตุ้นการทำงานของตับให้ดีขึ้น ช่วยสกัดสารพิษและกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากกระแสโลหิต
4. คอลลาเจน( Collagen)
- ช่วยกระตุ้นเซลล์ใหม่ ทำให้ผิวกระชับไม่เหี่ยวย่น
- ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสามารถสังเคราะห์คอลลาเจนได้เป็นปกติ
- ช่วยทำให้คอลลาเจนถูกดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังชั้นใน ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น มีชีวิตชีวา
5. ชาเขียวสกัด(Green tea Extract)
- ช่วยต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็ง ลดภาวะเป็นพิษของสารก่อมะเร็ง จำกัดการลุกลามของเซลล์เนื้องอก
6. วิตามินอี(Vitamin E Suecinate)
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยไม่ให้เซลล์ต่างๆถูกทำลาย และช่วยให้เซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่แข็งแรงไม่เสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร
- ช่วยให้เซลล์ผิวทนต่อรังสี UV Bในแสงแดดได้ดี จะช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง
- ช่วยป้องกันการอุนตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจและป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือดทำให้หลอดเลือดที่ไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ช่วยป้องกันความผิดปกติของระบบประสาท เนื่องจากวิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันจึงสามารถผ่านเข้าไปที่เซลล์สมองได้ทั้งยังสามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของเซลล์ในสมองที่ทำงานเกี่ยวกับหน่วยความจำ ทำให้สามารถป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ
- ช่วยสามารถป้องกันมิให้ไนโตรซามีน (ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เรามักได้รับจากอาหาร )มาทำลายเซลล์ในร่างกายและยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายอีกด้วยรวมทั้งยังมีผลการวิจัยที่กล่าวว่าการรับประทานวิตามินอีในขนาดสูงสามารถลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งที่ต่อมลูกหมากและเต้านม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น